เรื่องย่อ Braum the Heart of the Freljord
บรอมเป็นผู้ชายที่ตัวสูวใหญ่ตั้งเเต่เด็กซึ่งสูงกว่าเด็กชาวเฟรย์ลยอร์ดทั่วไปมาก เเต่เเม่ของเขาได้สอนสั่งให้เขาว่า “เเม้ตัวจะใหญ่กว่าเเต่ก็อย่าไปข่มเหงหรือรังเเกใคร” นางสืบเชื้อสายมาจากตระกูลที่ทำอาชีพเลี้ยงสัตว์เเละเชื่อว่าผู้กล้าหาญอย่างเเท้จริงย่อมใช้พลังที่มีเพื่อปกป้องผู้เดือดร้อน ไม่ใช่เพื่ออำนาจ ตอนที่บรอมยังเด็ก พวกยักษ์น้ำเเข็งได้บุกมาอาละวาดเผ่าเพื่อนบ้าน เเม้ว่าเผ่านั้นจะข่มเหงสมาชิกร่วมเผ่าของบรอมตลอดมาเป็นเวลายาวนาน เเต่เเม่ของเขากลับไม่ลังเลที่จะเดินทางข้ามทุ่งน้ำเเข็งทุนดราไปช่วยพวกที่รอดชีวิต พร้อมหอบเสื้อขนสัตว์ อาหารเเละยารักษาไปด้วย บรอมไม่เข้าใจว่าทำไมเเม่ถึงช่วยคู่เเข่ง เเต่หลังจากที่สิ่งที่นางทำลงไปได้ช่วยให้ผู้คนจำนวนมากรอดชีวิต พวกเขาก็กลายมาเป็นพันธมิตรกันไปตลอดชีวิตในที่สุด เขาก็เริ่มเข้าใจถึงความหมายที่เเม่ต้องการสื่อเมื่อพูดถึงชาวเฟรย์ลยอร์ดทั้งหมดถือเป็นครอบครัวเดียวกัน นับจากวันนั้นมา เขาก็ปฎิญานต้นว่าจะต้องทำให้ครอบครัวนี้กลับมาเเน่นเเฟ้นอีกครั้ง
ชีวประวัติ Braum the Heart of the Freljord
บรอมตัวสูงใหญ่กว่าเด็กๆ ชาวเฟรย์ลยอร์ดทั่วไปมากตั้งแต่สมัยที่อายุยังน้อย แต่แม่ของเขาได้สอนสั่งไว้ว่าแม้จะตัวใหญ่กว่าแต่ก็อย่าไปข่มเหงหรือรังแกใคร นางสืบเชื้อสายมาจากตระกูลที่ทำอาชีพเลี้ยงสัตว์และเชื่อว่าผู้ที่กล้าหาญอย่างแท้จริงย่อมใช้พลังที่มีเพื่อปกป้องผู้ที่เดือดร้อน ไม่ใช่เพื่อยึดครองอำนาจ
ตอนที่บรอมยังเด็ก พวกยักษ์น้ำแข็งได้บุกมาอาละวาดเผ่าเพื่อนบ้าน แม้ว่าเผ่านั้นจะข่มเหงสมาชิกร่วมเผ่าของบรอมมาตลอดเป็นเวลายาวนาน แต่แม่ของเขากลับไม่ลังเลที่จะเดินทางข้ามทุ่งน้ำแข็งทุนดราไปช่วยพวกที่รอดชีวิต พร้อมหอบเสื้อขนสัตว์ อาหารและยารักษาไปด้วย ในตอนแรก บรอมไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงช่วยคู่แข่ง แต่หลังจากที่สิ่งที่นางทำลงไปได้ช่วยให้ผู้คนจำนวนมากรอดชีวิต พวกเขาก็ได้กลายมาเป็นพันธมิตรกันไปตลอดชีวิต ในที่สุด เขาก็เข้าใจความหมายที่แม่ต้องการสื่อเมื่อพูดว่าชาวเฟรย์ลยอร์ดทั้งหมดถือเป็นครอบครัวเดียวกัน นับจากวันนั้นมา เขาก็ปฏิญาณว่าจะต้องทำให้ครอบครัวนี้กลับมาแน่นแฟ้นอีกครั้ง
เมื่อบรอมโตขึ้น ก็เป็นที่ชัดเจนว่าเขาคือไอซ์บอร์นผู้ทรงเกียรติ และแม้แต่ในหมู่ไอซ์บอร์นด้วยกันเอง ความแข็งแกร่งและความสามารถในการทนทานต่อธาตุต่างๆ ของเขานั้นก็ถือว่าอยู่ในระดับตำนาน เขาได้กลายมาเป็นวีรบุรุษของชาวเผ่าผู้ช่วยเหลือเด็กๆ ที่ลื่นตกลงไปในลำธารที่กลายเป็นน้ำแข็ง ช่วยเหลือนักเดินทางที่ถูกพายุหิมะโหมกระหน่ำ และปกป้องครอบครัวมากมายให้รอดพ้นจากกรงเล็บของสัตว์ป่าที่ดุร้าย เมื่อใดก็ตามที่เขาปรากฏกายขึ้น ทุกคนจะรู้ว่าความช่วยเหลือได้มาถึงแล้ว เขาคือบุรุษผู้เป็นความหวัง และขึ้นชื่อในเรื่องความมีชีวิตชีวา เสียงหัวเราะและการผูกมิตรกับผู้อื่นอย่างง่ายดาย
ในท้ายที่สุด บรอมก็ตระหนักความจริงที่ว่าเขาเป็นที่ต้องการตัวในพื้นที่ซึ่งอยู่ห่างไกลเลยจากแดนหุบเขาและทุ่งน้ำแข็งซึ่งเป็นที่ที่เขาเติบโตมา หลังจากร่ำลาแม่ทั้งน้ำตาแล้ว เขาก็เริ่มต้นการเดินทางท่องไปในเฟรย์ลยอร์ด
ตลอดหลายปีที่ผ่านไป เรื่องราวนับไม่ถ้วนเกี่ยวกับการต่อสู้อันทรงพลังและวีรกรรมของบรอมได้กระจายไปทั่ว แม้ว่าเรื่องราวส่วนใหญ่จะตั้งอยู่บนแก่นของความจริง แต่ก็เริ่มเหลือเชื่อไปไกลและกลายเป็นนิทานปรัมปรา อย่างเช่น ตำนานเกี่ยวกับการที่เขาโค่นไม้ทั้งป่าได้ในคืนเดียวด้วยมือเปล่าของเขาเท่านั้น หรือเรื่องที่เขาช่วยบ้านไร่อันโดดเดี่ยวแห่งหนึ่งให้รอดพ้นจากภัยภูเขาไฟระเบิดด้วยการยกมันขึ้นไปไว้บนที่สูง
เรื่องเล่าที่ใหม่กว่านั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับว่าบรอมพบโล่หัวแกะยักษ์ของเขาได้อย่างไร ตามเรื่องเล่านั้น มันคือประตูนิรภัยวิเศษที่หลอมขึ้นในยุคโบราณและตั้งไว้ในภูเขาแห่งหนึ่ง บรอมได้ยินเสียงร้องจากด้านใน แต่เขาไม่สามารถพังประตูนั้นได้ เขารัวชกก้อนหินไปเรื่อยๆ อย่างไม่ย่อท้อจนสามารถช่วยโทรลเด็กน้อยที่ติดอยู่ด้านในนั้นได้ เขากระชากประตูที่ไม่อาจทำลายได้บานนั้นออกมาจากบานพับและแบกมันติดตัวไว้นับแต่นั้นมา
เมื่อได้ยินนิทานเรื่องนี้ บรอมหัวเราะเสียงสนั่นเช่นเดียวกับเมื่อได้ฟังตำนานอื่นๆ เกี่ยวกับเขา แต่เขาไม่ได้แย้งว่ามันผิดไปจากความจริงแต่อย่างใด เขาโอบรับเรื่องราวเหล่านั้น จะปล่อยให้ความจริงไปขัดขวางการสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นๆ แสดงน้ำใจและเมตตาต่อกันไปทำไม?
ไม่ว่าจริงๆ แล้วบรอมจะได้โล่นี้มาได้อย่างไร แต่ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็เดินทางไปสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งราเคลเสตค หลายๆ เผ่ามาชุมนุมกันที่นี่เพื่อรับฟังสารจากแอช มารดาแห่งสงครามของอวาโรซ่า ว่ากันว่านางคืออวาโรซ่าที่กลับชาติมาเกิด ที่นั่น เขาได้เห็นทรินดาเมียร์ คนเถื่อนที่กระเหี้ยนกระหือรืออยากพิสูจน์คุณค่าของตนเองและทุบตีทำร้ายใครก็ตามที่กล้าเผชิญหน้ากับเขาด้วยความโหดเหี้ยม
ระหว่างที่ดูอยู่นั้น บรอมได้เห็นว่าทรินดาเมียร์เริ่มคลั่งมากขึ้นเรื่อยๆ ในการดวลต่อสู้ครั้งหนึ่ง เขาถูกความกราดเกรี้ยวเข้าครอบงำจนดูท่าว่าจะลงมือฆ่าคู่ต่อสู้เป็นอย่างแน่แท้ทั้งที่ตนเองเป็นฝ่ายชนะแล้ว ด้วยมองว่าเหตุการณ์เลยเถิดมามากพอแล้ว บรอมจึงเข้าไปขวางไว้ตรงหน้าคู่ต่อสู้ที่ถูกโค่นลงไปและยกโล่ของเขาขึ้น ฝ่ายทรินดาเมียร์ก็กระหน่ำฟาดเกราะคุ้มภัยที่ไม่อาจทะลวงได้นั้น จนกระทั่งในที่สุดเมื่อความเกรี้ยวกราดของคนเถื่อนได้คลายลงไป ความมีอารมณ์ขันของบรอมก็สามารถเอาชนะใจเขาได้ ในไม่ช้า ทั้งคู่ต่างก็พากันหัวเราะและร่วมดื่มชนแก้วกัน บางคนถึงขั้นพูดว่าบรอมคือคนแรกที่แนะนำทรินดาเมียร์ให้รู้จักกับแอช ในภายหลัง ชาวเถื่อนผู้นั้นได้สมรสกับนางและกลายเป็นผู้เดียวที่ได้ดื่มเลือดร่วมสาบานกับนาง
บรอมไม่ได้สวามิภักดิ์ต่อเผ่าใดเผ่าหนึ่งเป็นการเฉพาะ เนื่องจากมองว่าทุกเผ่าในเฟรย์ลยอร์ดนั้นต่างเป็นพี่น้องกัน ถึงกระนั้น เขาก็มองว่าแอชน่าจะเป็นคนที่สามารถยุติความขัดแย้งที่ดำรงมายาวนานหลายร้อยปีระหว่างเผ่าต่างๆ ในเฟรย์ลยอร์ด และชาวอวาโรซ่าก็ได้ยอมรับเขาเป็นพรรคพวกเดียวกันแล้วอย่างไม่เป็นทางการ ความฝันของตัวเองที่บรอมมักเล่าให้เด็กๆ ที่ชื่นชมเขาฟังอยู่บ่อยๆ ก็คือ สักวันเฟรย์ลยอร์ดจะรวมกันเป็นหนึ่งครอบครัวใหญ่… และเมื่อนั้น เขาก็จะสามารถถอนตัวกลับไปใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายเป็นคนเลี้ยงโปโร
แม้บรอมจะไม่เคยมองใครเป็นศัตรู แต่เขาก็เคยมีเรื่องมีราวกับฟรอซท์การ์ดมาบ้างตั้งแต่เริ่มพกโล่ของเขา บรอมไม่เข้าใจว่าเหตุใดพวกนั้นจึงผูกใจเจ็บกับเขา แล้วก็ไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมพวกนั้นถึงดูเหมือนจะสนใจสิ่งที่เขาถือครองไว้ในตอนนี้เหลือเกิน…
ที่มา (https://universe.leagueoflegends.com/th_TH/story/champion/braum)